เพจเลี่ยงเชียง เพจธรรมะ ธรรมทาน เพจสร้างบุญ Line@MAKEBOON || makeboon2018@gmail.com
สารธรรมที่ได้จากการอ่านบทสวดมนต์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเช้าวันนี้
ขณะที่อ่าน สวดมนต์ไปด้วย และพยายามเก็บสาระเป็นหัวข้อๆ
ก่อนนำมาสรุปให้เพื่อนๆ ได้สงบใจใช้สายตาผ่านหัวใจตนเอง
เก็บเกี่ยวหลักธรรมะไปด้วยกัน ขอเชิญค่อยๆ ทัศนาช้าๆ กันนะครับ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ที่สุดแห่งการกระทำมีอยู่ 2 ประการ
ที่บรรพชิตผู้ทรงศีลทรงธรรม
ไม่สมควรจะส้องเสพ
ดังต่อไปนี้
ประการที่หนี่ง (กามสุขัลลิกานุโยค)
การพาตัวพาใจตนให้เข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องจมปลั๊กอยู่ในกาม (สิ่งที่ทำให้ใคร่ ลุ่มหลง หลงไหล) ทั้งหลาย
ซึ่งทางหลักพระพุทธศาสนาท่านกล่าวว่า เป็นของต่ำทราม มีไว้สำหรับเพศฆราวาส ชาวบ้านทั่วไป
เป็นสิ่งที่ปุถุชนสามัญยังคงติดอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้กลายเป็นพระอริยเจ้า ไม่ใช่ข้อปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นใดใด
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์สำหรับบรรพชิตเลย
ประการที่สอง (อัตตกิลมถานุโยค)
การทำตนให้เจ็บปวดทรมานทรกรรมด้วยกลวิธีต่างๆ
นำความเจ็บปวดทางร่างกายอย่างแสนสาหัสมาสู่ตน
ซึ่งวิธีนี้ไม่จัดเป็นกลวิธีสำหรับฝึกปฏิบัติตนของพระอริยเจ้า
ไม่มีประโยชน์ใดใดเลยที่จะช่วยทำให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย
และสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงแนะนำไว้
ให้กับเหล่าบรรพชิตทั้งหลายได้รับทราบและปฏิบัติตาม ก็คือ
ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา)
ซึ่งมีอยุ่ 8 ประการ ดังต่อไปนี้
ประการที่หนึ่ง
ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) คืออะไร ? เป็นไฉน ? เห็นอย่างไร จึงจะเป็นการเห็นชอบ ?
ก็คือ ................
- เห็นและเข้าใจถึงสภาพที่เรียกว่า "ทุกข์" หรือ "สิ่งที่เป็นตัวปัญหา" นั้น มีอยู่จริง
- เห็นและเข้าใจว่า ทุกสรรพสิ่งที่มีการเกิด แก่ เสื่อมสภาพ ตาย สูญสลาย ก็เป็นทุกข์จริง
- เห็นและเข้าใจว่า อารมณ์ความทุกข์โศก ร่ำไร รำพัน เศร้าเสียใจ ไม่สบายกายไม่สบายใจ คับแค้น เคียดแค้นใจต่างๆ ก็ล้วนเป็นทุกข์จริง
- เห็นและเข้าใจว่า การได้และการสูญเสียไป ไม่ว่าจะเป็นของที่รักที่ชอบใจตนเองมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ก็เป็นทุกข์จริง
- เห็นและเข้าใจว่า สิ่งที่อยากได้กลับไม่ได้ สิ่งไม่อยากได้กลับได้มา ก็ทำให้เป็นทุกข์จริงได้เหมือนกัน
- เห็นและเข้าใจว่า สภาวะขันธ์ทั้งห้าของร่างกายตนนั้น ไม่เที่ยงแท้แน่นอน การยึดมั่นถือมั่น ก็ทำให้เกิดทุกข์จริง
- เห็นและเข้าใจถึงสภาพที่เรียกว่า "สมุทัย" หรือ "ต้นตอตัวสาเหตุ" แห่งความทุกข์นั้น มีอยู่จริง
- เห็นและเข้าใจว่า "ต้นตอแห่งความทุกข์นั้นคืออะไร ? ต้นนั้น ก็คือ ตัณหา ความอยากของมนุษย์ " นั่นเอง
- เห็นและเข้าใจว่า "ตัวตัณหานี้ มันเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ ก่อเกิดความกำหนัด อยากไม่รู้จบสิ้น ทำให้หลงงมงาย"
- เห็นและเข้าใจว่า "ตัณหา คือความอยาก เช่น ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น, ความไม่อยากได้ ความไม่อยากมี ความไม่อยากเป็น
กามตัณหา, ภวตัณหา, วิภวตัณหา
- เห็นและเข้าใจถึงสภาพที่เรียกว่า "นิโรธ" หรือ "ความดับแห่งทุกข์ " มีอยู่จริง
- เห็นและเข้าใจว่า "ความดับทุกข์นั้น มีสภาพเช่นไร ? "
- เห็นและเข้าใจว่า "ดับทุกข์ ก็คือ สลัดมันทิ้งได้ ไม่เศร้าเสียใจสิ่งที่เกิดขึ้น ปล่อยวาง ระงับอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น วางใจได้ด้วยเหตุและผลของมัน
ไม่อาลัยอาวรณ์ ไม่หวนกลับไปสู่ปัญหาเดิมๆ ที่ทำให้เราตกอยู่ในทุกข์นั้นอีกต่อไป "
- แล้วเราจะเห็นและเข้าใจ "นิโรธ" นี้ เข้าถึง "นิโรธ" นี้ได้อย่างไร ? ด้วยวิธีใดเล่า ? คำตอบก็คือข้อต่อไป
- เห็นและเข้าใจถึงสภาพที่เรียกว่า "มรรค" หรือ "มัชฌิมาปฏิปทา" ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลาง ที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำสั่งสอนไว้นั่นเอง
สำหรับวันนี้ เราได้เข้าใจถึงหลักธรรมจากบทสวดมนต์ " ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร " เพิ่มขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยแล้ว
แต่หากจะเข้าใจได้ครบ ก็ต้องศึกษาค้นคว้า ทดลองปฏิบัติตามด้วยตนเอง แล้วจะได้เข้าใจเองต่อไป
นี่คือ "แกนหลักสำคัญ" ของการสวดมนต์และปฏิบัติตามเพื่อให้ได้อานิสงส์แห่งการสวดมนต์ที่แท้จริง จริงๆ
โดยไม่ต้องอ้อนวอน รอคอยเทพยดาทั้งหลาย มาคอยช่วยเสก ช่วยเป่าให้เราพ้นทุกข์แต่ประการใดใด
แต่เป็นตัวเราเองที่กลายเป็นเทพ เป็นอริยบุคคล ช่วยตัวเอง
ปัดเป่าความทุกข์ให้พ้นจากตัวเองได้อย่างแท้จริง ทันที และทันใด
สำหรับวันนี้ ฝากธรรมะ ข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ ให้กำลังใจเพียงเท่านี้
บทความหน้าเราจะมาต่อข้อต่อไปกันนะครับ
**ปล. สารธรรมจากบทสวดมนต์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และอธิบายเสริมโดย วันนา มากมาย
**30 ส.ค.2564