เนื้อหาบทความ

นิทานธรรมบท "ตำนานพระนางสามาวดี" Ep.3 ศาสตร์มนต์ตรายึดบ้านคืนเมือง

อยู่มาวันหนึ่ง  พระดาบสได้ตรวจดูฤกษ์ดวงชะตา

ก็ได้พบความพินาศวิบัติของพระเจ้าปรันตปะ  จึงเอ่ยขึ้นว่า

 

                “พระน้องนางเอ่ย  พระเจ้าปรันตปราชาผู้ครองแคว้นโกสัมพีได้สวรรคตเสียแล้ว

 

                “พระคุณเจ้า  ทำไม ?  ท่านจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า

                ท่านมีความอาฆาตแค้นเคืองกับพระองค์กระนั้นหรือ ?”  พระเทวีกล่าว

 

                “ไม่มีหรอก  พระน้องนาง,

                เรากล่าวเช่นนี้  ก็เพราะได้เห็นดวงชะตาคราววิบัติของพระองค์”  พระดาบสตอบ

 

พระเทวีนั้น  ได้ทรงเศร้าพระทัยยิ่งนัก

 

ครั้นพระดาบสจึงได้เอ่ยถามพระนางว่า

 

                “เธอกันแสงเพราะเหตุไรหรือ?

เมื่อพระนางตรัสบอกว่าพระเจ้าปรันตปราชพระองค์นั้นทรงเป็นพระสวามีของพระองค์เอง,

จึงได้เอ่ยขึ้นว่า

 

                “พระน้องนางเอ่ย  เจ้าอย่าได้กันแสงไปเลย

                ธรรมดาว่าสัตว์ผู้เกิดมาแล้ว  จำต้องตายเป็นแน่แท้

 

                “พระคุณเจ้า  ข้าพเจ้าทราบ”  พระเทวีตรัสตอบ

 

                “เมื่อทราบเช่นนั้น  ทำไม  เธอจึงยังร้องไห้อยู่เล่า ?”  พระดาบสกล่าว

 

                “พระคุณเจ้า  ที่ข้าพเจ้าร้องไห้  ก็เพราะเศร้าโศกเสียใจว่า

                                ‘พระโอรสของข้าพเจ้า  นับว่าเป็นผู้สมควรที่จะได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อราชสกุล

                                ถ้าหากพระโอรสนี้ยังอาศัยอยู่ ณ ที่ตรงนั้น

                                ก็คงจะได้ขึ้นครองราชย์เสวยเศวตฉัตร

                                แต่มาบัดนี้  เธอกลับเป็นผู้สูญเสียอย่างใหญ่หลวงไปเสียแล้ว”  พระเทวีบอกเหตุผลดังนี้

 

                “ช่างมันเถอะนะ  พระน้องนาง,  เธออย่าได้คิดถึงมันเลย,

                ถ้าเธออยากให้พระโอรสนั้นได้ครองราชย์สมบัติจริงๆ,

                เราจักหาวิธีให้พระโอรสนั้นได้ครองราชย์สมบัติให้เอง”  พระดาบสกล่าว

 

ดังนั้น  พระดาบสจึงได้มอบพิณหัสดีกันต์และสอนมนต์หัสดีกันต์ให้กับพระโอรสนั้น

 

ณ เวลานั้น ช้างจำนวนหลายแสนเชือกได้พากันมารวมฝูงใกล้ๆ  ต้นไทร

 

ครั้นพระดาบสจึงได้กล่าวสอนพระโอรสนั้นว่า

 

                “เมื่อช้างทั้งหลายยังมาไม่ถึงแล้วนะ,  เจ้าให้รีบขึ้นต้นไม้,

                แต่เมื่อพวกมันมาถึงแล้ว,  ให้ร่ายมนต์บทนี้  พร้อมกับดีดพิณสายนี้,

                พวกช้างทั้งหมด  แม้แต่จะหันหลังเหลียวกลับมามองดู  ก็ทำไม่ได้  จักวิ่งหนีไปอย่างเดียว,

                หลังจากนั้น  เจ้าจึงค่อยลงมา

 

พระโอรสนั้น  ก็ได้ทำตามนั้น  เสร็จแล้วกลับมาแจ้งเรื่องราวนั้น

 

ครั้นในวันที่สอง  พระดาบสก็ได้กล่าวกะพระโอรสนั้นว่า

 

                “วันนี้นะ  เจ้าควรร่ายมนต์บทนี้พร้อมกับดีดพิณสายนี้นะ

                พวกช้าง  จะหันกลับมาเหลียวมอง พร้อมกับวิ่งหนีไป

 

แม้ในครั้งนั้น  พระโอรสก็ได้ทำตามนั้น  เสร็จแล้วก็กลับมาแจ้งเรื่องราวนั้น

 

ต่อมาพระดาบสได้เรียกพระมารดาของพระโอรสนั้นมาปรึกษา  แล้วเอ่ยขึ้นว่า

 

                “พระน้องนาง  เธอจงบอกเรื่องราวให้พระโอรสของเธอได้รับทราบเถอะ

                พระโอรสนั้น  จักได้เดินทางจากที่นี้ไปเป็นกษัตริย์ต่อไป

 

พระนางจึงได้เรียกพระโอรสนั้นมาแล้วตรัสบอกว่า

 

                “ลูกเอ๋ย  ตัวเจ้านับเป็นพระโอรสของพระเจ้าปรันตปราชผู้ครองแคว้นโกสัมพี

                แต่นกยักษ์หัสดีลิงค์  ได้นำแม่มาสมัยกำลังตั้งครรภ์อยู่

 

แล้วตรัสบอกชื่อบุคคลผู้มีศักดิ์ใหญ่ทั้งหลายอาทิเช่นเสนาบดี  แล้วตรัสบอกก่อนที่จะส่งไปว่า

 

                “เจ้าพึงแสดงผ้าห่มขนสัตว์และพระธำมรงค์ของพระราชบิดานี้

                ต่อคนเหล่านั้นที่ยังไม่เชื่อถือเจ้านะ

 

                “บัดนี้  ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไร ?”  พระกุมารได้กล่าวกะพระดาบส

 

                “ขอให้เจ้าจงขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้กิ่งด้านล่างของต้นไม้ แล้วร่ายมนต์บทนี้ พร้อมกับดีดพิณสายนี้,

                ช้างจ่าฝูงก็จักน้อมหลังลงเดินเข้ามาหา,

                เจ้าก็ขึ้นนั่งบนหลังของมันเสีย  เดินทางไปยึดบ้านครองเมืองต่อไป”  พระดาบสกล่าวแนะนำ

 

พระกุมารนั้นไหว้บิดามารดาแล้วกระทำตามคำแนะนำนั้น

ขึ้นนั่งบนหลังช้างเชือกเดินมาหา  พร้อมกระซิบข้างหูบอกมันว่า

 

                “อันตัวเราคือบุตรของพระเจ้าปรันตปราชผู้ครองแคว้นโกสัมพี,

                พ่อช้างเอ๋ย  ขอเจ้าจงช่วยยึดเอาราชสมบัติซึ่งเป็นของพระบิดาคืนให้แก่เราด้วยเถิด

 

ช้างนั้นพอได้ฟังคำดังนั้นแล้ว  ก็ร้องลั่นว่า

 

                “ขอให้ช้างจำนวนหลายพันเชือกมาประชุมกันเถิด

 

ช้างหลายพันเชือกก็มาประชุมกันแล้ว,  จึงร้องบอกอีกว่า

 

                “เหล่าช้างแก่ๆ ทั้งหลาย  จงถอยออกไปเถอะ

 

ช้างแก่ๆ ทั้งหลายจึงถอยหลีกไป,  จึงร้องบอกอีกว่า

 

                “ขอให้ช้างหนุ่มๆ แข็งแรงๆ ทั้งหลาย  กลับมาตรงนี้เถิด

 

ฝ่ายพวกช้างเหล่านั้นก็ได้กลับมาทันที,

 

พระโอรสนั้น  ถูกห้อมล้อมไปด้วยช้างนักรบหลายพันเชือกทันที 

ได้เดินทางไปถึงปัจจันตคาม แล้วเอ่ยขึ้นว่า

 

                “ตัวเราคือพระราชโอรส,  ประชาชนทั้งหลายผู้ปรารถนาสมบัติ ขอให้เดินทางร่วมมากับเราเถิด

 

นับจากนั้น  ก็ได้ทำการสั่งสมผู้คนขึ้น  เดินทางไปล้อมพระนครเอาไว้  พร้อมส่งราชสาสน์ไปแจ้งว่า

 

                “ชาวพระนครทั้งหลาย  จะรบกันหรือว่าจะยอมยกราชสมบัติให้กับเรา

 

ชาวพระนครจึงได้กล่าวว่า

 

                “พวกเราทั้งหลายจะไม่ยอมรับทั้งสองข้อ,

                เพราะว่า  พระเทวีของพวกเรา  ขณะที่ทรงพระครรภ์แก่ใกล้คลอด

                ได้ถูกนกยักษ์ (นกหัสดีลิงค์)  นำตัวไปแล้ว,

                พวกเรายังไม่รู้เลยว่าพระนางยังทรงพระชนม์อยู่หรือไม่,

                ตราบใดที่พวกเรายังไม่ทราบเรื่องราวของพระนาง,

                พวกเราก็จักไม่ยอมรบไม่ยอมมอบราชสมบัติให้ตราบนั้น

 

ทราบว่า  สมัยนั้น  ราชสมบัติจะถูกสืบเชื้อสายตามประเพณีนั้น

 

ทันใดนั้น  พระกุมารจึงเอ่ยขึ้นว่า

 

                “ตัวเราคือพระโอรสของพระนาง

 

แล้วบอกชื่อของเหล่าอิสรชน เช่น เสนาบดี  พร้อมแสดงผ้าขนสัตว์และพระธำมรงค์

ให้แก่ชาวนครทั้งหลายที่ยังไม่เชื่ออยู่อย่างนั้น

 

ชาวพระนครเหล่านั้น  จดจำผ้าขนสัตว์สีแดงและพระธำมรงค์สองชิ้นนั้นได้  จึงคลายความสงสัย

เปิดประตูเมือง  แล้วอภิเษกพระกุมารนั้นในราชสมบัติทันที

 

เรื่องราวการอุบัติของพระเจ้าอุเทน  จบไว้เพียงเท่านี้ก่อน

 

(จบตอนที่ ๓  บาลีหน้า 6-8  จบตรง "อยํ ตาว อุเทนสฺส อุปฺปตฺติ." )