เนื้อหาบทความ

นิทานธรรมบท "ตำนานพระนางสามาวดี" Ep.2 กำเนิดพระอุเทนกุมาร

ณ  ช่วงสมัยนั้น  ได้มีกษัตริย์ครองพระนครทรงพระนามว่า ปรันตปะ

วันหนึ่ง  บริเวณที่โล่งแจ้ง บรรยากาศอันแสนปลอดโปร่ง 

พระองค์พร้อมด้วยพระราชเทวีที่กำลังทรงพระครรภ์ 

ได้เสด็จออกมานั่งผิงพระวรกายให้อบอุ่นยามเช้า

 

พระเทวีทรงประทับนั่งห่มผ้ากัมพลสีแดงประมาณราคาถึงหนึ่งแสนกหาปณะ (ราคาสมัยนั้น)

ซึ่งถือเป็นเครื่องนุ่งห่มของกษัตริย์  ขณะกำลังสนทนากับพระราชา  ก็ทรงถอดแหวนพระธำมรงค์

มีราคาถึงหนึ่งแสนกหาปณะ  ออกจากพระองคุลีของพระราชา  นำมาประดับที่พระองคุลีของพระองค์เอง

 

ขณะนั้นเอง  นกยักษ์หัสดีลิงค์ (นกตัวขนาดเท่าช้าง) ซึ่งกำลังบินหาอาหาร  ได้เหลือบมองเห็นพระเทวีเข้า

จึงโผร่อนลงพุ่งเข้าไปหาด้วยความเข้าใจว่า

 

                “ชิ้นเนื้อ

 

พระราชาทรงตกพระทัยเพราะเสียงร่อนลงของนกตัวนั้น

จึงรีบเสด็จลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปยังภายในพระราชวังอย่างรวดเร็ว

 

ฝ่ายพระเทวี  ครั้นจะวิ่งเช่นนั้นก็มิอาจกระทำได้

ก็เพราะพระองค์นั้นกำลังทรงพระครรภ์แก่แล้ว  และเพราะกำลังตกพระทัยจนทำอะไรไม่ถูกในเวลานั้น

 

หลังจากนกยักษ์ตัวนั้น  ได้โฉบเหยื่อก็คือพระเทวีนั้นแล้ว  ก็ขยุ้มเท้าบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้าทันที

 

ตามคำบอกเล่าว่า  นกยักษ์เหล่านั้น  มีพละกำลังมหาศาลเทียบเท่าช้าง ๕ เชือกทีเดียว

เพราะฉะนั้น  พวกมันจึงสามารถนำอาหารบินไป  จะจับกินเนื้อเมื่อใดก็ได้  ในที่ที่มันพอใจ

 

ฝ่ายพระเทวีนั้นเล่า  ขณะที่ถูกนกยักษ์นั้นจับไป  ก็ทรงหวาดกลัวภัยคือความตายอยู่ตลอด  ฉุกคิดขึ้นว่า

 

                “ถ้าเราจักส่งเสียงร้องขึ้น

                ปกติเสียงของมนุษย์  จะทำให้เหล่าสัตว์เดรัจฉานตกใจกลัวได้

                แต่พวกมันพอได้ฟังเสียงนั้นเข้า  จักปล่อยเราลงทันที

               

                เมื่อเป็นนี้แล้ว  เราก็จักต้องตายไปพร้อมกับลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์

                แต่เมื่อมันร่อนลงจับตรงจุดใด เริ่มจะกินเราเข้า

                ตรงนั้นแหละ เราจึงจะส่งเสียงให้ดัง ทำให้มันบินหนีไป

 

พระนางทรงอดกลั้นพระทัยไว้ได้  ก็เพราะทรงเป็นผู้เฉลียวฉลาด

 

ก็ในสถานที่ใกล้ป่าหิมพานต์ (หิมวันตประเทศ)  ปรากฏมีต้นไทรขนาดใหญ่ (มหานิโครธ) อยู่ต้นหนึ่ง

ยืนตระหง่านดังมณฑป แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปมิใช่น้อย

 

นกยักษ์ตัวนั้น จึงได้นำเหยื่อเช่นเนื้อไปกินยังสถานที่แห่งนั้น

 

ดังนั้น พอมันนำเหยื่อไปถึงสถานที่นั่นเองแล้ว  ก็จะวางเหยื่อไว้บนคบไม้ (ในระหว่างแห่งค่าคบ)

เหลียวกลับไปมองเส้นทางที่มันได้บินผ่านมา

 

โปราณว่าไว้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของพวกมัน 

เกี่ยวกับการเหลียวมองเส้นทางที่ได้บินผ่านมาแล้ว

 

ขณะนั้นเอง  พระเทวีก็ดำริขึ้นว่า

 

                “เอาละทีนี้  ก็ถึงเวลาสมควรที่เราจะไล่เจ้านกยักษ์ตัวนี้ให้บินหนีไป

 

เสร็จแล้วจึงได้ยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้น  ทรงตระโกนส่งเสียงดังพร้อมโบกไม้โบกมือขับไล่นกนั้นให้หนีไป

 

ทันใดนั่นเอง  เวลาก็ใกล้รุ่งเข้ามา  พระครรภ์ของพระนางก็เกิดลมปั่นป่วนขึ้นอย่างรุนแรง

ทั่วทุกสารทิศ  มีเมฆฝนขนาดใหญ่ตั้งเค้าขึ้น พร้อมส่งเสียงคำรามก้องทั่วสนั่นปฐพี

 

เมื่อพระราชมเหสี ผู้ดำรงอยู่อย่างสุขสบายมาตลอดเวลา

ไม่ทรงได้รับแม้เพียงถ้อยคำว่า

 

                “พระน้องนาง  เจ้าอย่าได้ทรงวิตกไปเลย

 

สาเหตุเพราะทรงถูกความทุกข์ระทมครอบงำแล้วนี่เอง

ชื่อว่าการบรรทมตลอดระยะเวลาทุกค่ำคืน  จึงไม่ได้มี

 

แต่พอเมื่อราตรีใกล้จะสว่างเข้า

ความมืดที่ปกคุมก็คลายออก

รุ่งอรุณวันใหม่ค่อยๆ ปรากฏขึ้น  และ

พระองค์ก็ได้ประสูติกาลพระโอรส ในขณะนั้น

 

พระนางทรงได้ประทานพระนามพระโอรสของพระองค์ว่า

 

                “พระอุเทนกุมาร

 

ก็เพราะทรงยึดช่วงเวลาที่พระโอรสประสูติ

ตรงกับช่วงเวลาเมฆคลายตัวและรุ่งอรุณวันใหม่ตั้งขึ้น

 

บริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลจากต้นไทรใหญ่นั้น 

ปรากฏเป็นอาศรมที่อยู่บำเพ็ญพรตของอัลลกัปปดาบส

 

โดยปกติ  ท่านจะเข้าป่าเพื่อหาผลหมากรากไม้

เพราะหวั่นเกรงจะหนาวในวันที่ฝนตกลงมา

จึงได้เดินหาไปจนถึงโคนต้นไม้นั้น

ได้เก็บรวบรวมเอาเศษกระดูกของซากเนื้อที่นกยักษ์กินเสร็จแล้ว

นำมาทุบ  แล้วต้มปรุงรสชาติดื่มกิน

 

ดังนั้น  แม้วันนั้นท่านก็เข้าป่าไปด้วยตั้งใจว่า

 

                “จักเก็บเอากระดูกกลับมา

 

เดินไปถึงบริเวณนั้น  กำลังค้นหาเศษกระดูกใกล้ๆ โคนต้นไม้อยู่

ก็แว่วได้ยินเสียงของทารกน้อยเข้ามาในโสต

พอมองขึ้นไป  ก็พบกับพระเทวีเข้า  จึงได้ไตร่ถามว่า

 

                “เธอเป็นใครหรือ ?

 

                “หญิงมนุษย์คนหนึ่งจ๊ะ”  เมื่อพระเทวีได้ตอบกลับดังนี้แล้ว

 

จึงถามต่อไปว่า

 

                “แล้วเธอมาได้อย่างไรกัน ?

 

                “ฉันถูกนกยักษ์ (นกหัสดีลิงค์)  จับตัวมาจ๊ะ”  เมื่อพระเทวีได้ตอบกลับแล้ว

 

จึงได้เอ่ยว่า

 

                “งั้น  เธอก็ลงมาเถอะ

 

                “ดิฉันกลัวเชื้อสายจะแปดเปื้อน เจ้าค่ะ”  พระเทวีตรัสบอก

 

                “เธอเป็นใครเล่า ?”  พระดาบสจึงเอ่ยถาม

 

                “ดิฉันเป็นเชื้อกษัตริย์ เจ้าค่ะ”  พระเทวีตรัสตอบ

 

                “แม้เราเอง  ก็เป็นเชื้อกษัตริย์เช่นกัน”  พระดาบสกล่าว

 

                “ถ้าเช่นนั้น  ก่อนอื่นขอให้ท่านลงบอกถึงทำเนียมกษัตริย์มาดู”  พระเทวีตรัส

 

ท่านดาบสจึงได้บอกถึงทำเนียมดังกล่าวนั้น

 

พระเทวีนั้นพอได้ฟังแล้ว  จึงตรัสว่า

 

                “ถ้าเช่นนั้น  ขอท่านช่วยขึ้นมานำเอาพระลูกน้อยของเราลงไปก่อนเถิด

 

ท่านดาบสจึงได้ถางทางขึ้นไปข้างหนึ่ง แล้วขึ้นไปรับเอาทารก

ขณะที่พระเทวีนั้นตรัสว่า

 

                “ท่านโปรดระวังอย่าให้มือมาแตะต้องตัวเรา

 

ก็มิได้แตะต้องพระนางเลย  รับเอาทารกลงมาเท่านั้น

 

ฝ่ายพระเทวีก็เสด็จตามลงมา

 

ต่อมา ท่านดาบสก็ได้นำพระเทวีไปยังสถานที่อาศรม 

มิได้กระทำผิดศีลธรรมใดๆ เลย

ดูแลปรนนิบัติด้วยความเอื้อเฟื้ออยู่ตลอด ได้นำน้ำผึ้งไร้ตัวผึ้งมา

นำข้าวสาลีเกิดเองตามธรรมชาติมาหุงต้มเป็นข้าวยาคูถวายให้

 

ขณะที่ท่านพระดาบสดูแลปรนนิบัติสองแม่ลูกอยู่อย่างนั้น

ต่อมา  พระเทวีนั้นกลับฉุกคิดขึ้นว่า

 

                “อันตัวเราเองนั้น  กระทั่งทางมาก็มิรู้,  ทางไปก็มิรู้

                แม้นสักว่าความสนิทสนมคุ้นเคยกันกับดาบสท่านนี้เล่า  ก็มิเคยมีมาก่อนเลย

 

                แลถ้าเกิดว่าดาบสนี้ได้ทอดทิ้งเราสองแม่ลูกหนีจากไปไหนต่อไหนเล่า

                มิวายเราแม่ลูกทั้งสอง  คงจักต้องม้วยมรณาลงตรงนี้ทีเดียว

 

                กลวิธีใดก็ตาม  ที่ดาบสนี้จะไม่ทอดทิ้งเรา

                สมควรที่เราต้องทำทุกวิถีทาง  ทำลายศีลศักดิ์ของดาบสนี้ก่อน

                แล้วทำตามกลวิธีนั้นให้สำเร็จให้ได้

 

ดังนั้น  พระนางจึงได้หลอกล่อดาบส โดยแกล้งแต่งตัวยั่วยุนุ่งน้อยห่มน้อย

จนทำให้พระดาบสนั้นถึงขั้นขาดจากศีลศักดิ์ที่ตนบำเพ็ญพรต

 

นับจากนั้น  บุคคลแม้ทั้งสองก็ได้ใช้ชีวิตร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันมาโดยตลอด

 

(จบตอนที่ ๒  บาลีหน้า 3-6  จบตรง "เทฺวปิ  สมคฺคสํวาสํ  วสึสุ." )